นีลส์ บอร์มีชื่อเต็มๆว่า นีลส์ เฮนริค เดวิด นีลส์ บอร์ (Niels Henrick David Bohr) เขาเกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ.1885 ที่กรุงโคเปนเฮเกน เมืองหลวงของประเทศเดนมาร์ก บิดาของเขาชื่อว่า คริสเตียน นีลส์ บอร์ (Christian Bohr) เป็นศาสตราจารย์ทางสรีรวิทยา ที่มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน (Copenhagen University) ส่วนมารดาคือ อัลเลน นีลส์ บอร์ (Allen Bohr) ซึ่งเป็นบุตรสาวของคหบดีที่มั่งคั่งแห่งเมือง การที่นีลส์ บอร์เกิดมาในตระกูลที่มั่งคั่งทำให้นีลส์ บอร์มีโอกาสได้รับการศึกษาที่ดีมาก หลังจากที่เขาจบการศึกษาเบื้องต้นในปี ค.ศ.1903 นีลส์ บอร์ได้เข้าศึกษาต่อในวิชาฟิสิกส์ ที่มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน หลังจากที่เขาจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีแล้ว เขาได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ มากมายหลายเรื่อง โดยนีลส์ บอร์ได้เริ่มการศึกษาค้นคว้าทดลองครั้งแรกในปีค.ศ.1907 เกี่ยวกับเรื่องความตึงของผิวน้ำ และจากผลงานชิ้นนี้นีลส์ บอร์ได้รับรางวัลเหรียญทองจากสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งชาติเดนมาร์ก ต่อมาในปี ค.ศ.1911 เกี่ยวกับเรื่องอิเล็กตรอนของโลหะ เพื่อจัดทำเป็นวิทยานิพนธ์สำหรับรับปริญญาเอก ซึ่งเขาก็ประสบความสำเร็จได้รับปริญญาเอกในสาขาวิชาฟิสิกส์สมใจ หลังจากที่เขาได้รับปริญญาเอกแล้ว นีลส์ บอร์ได้เดินทางไปยังประเทศอังกฤษ และได้พบกันเซอร์โจเซฟ จอห์น ทอมป์สัน (Sir Joseph John Thompson) ทั้งสองยังได้ร่วมมือกันทำการทดลองค้นคว้าในห้องทดลองคาเวนดิช มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในปีต่อมาเขาได้ทำการทดลองค้นคว้าร่วมกับเออร์เนสรัทเธอร์ฟอร์ด ที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ในเรื่ององค์ประกอบของอะตอม จำนวนโปรตอนและอิเล็กตรอนในธาตุแต่ละชนิด และในตารางธาตุทั้งหมดแต่ละอะตอมจะมีจำนวนโปรตอนในนิวเคลียสเท่ากับจำนวนอิเล็กตรอนที่วิ่งโดยรอบ และโปรตอนหนึ่งโปรตอนมีประจุไฟฟ้า ในธาตุในก็ตามแกนกลางของธาตุยังมีจำนวนโปรตอนเหมือนกันทั้งสิ้น และจำนวนอะตอมเหล่านี้ เรียกว่า "จำนวนอะตอมของธาตุ" และธาตุที่มีจำนวนอะตอมมากที่สุด คือ ธาตุยูเรเนียม แต่ไม่ทันที่จะก้าวหน้าไปมากกว่านี้รัทเธอร์ฟอร์ดก็เสียชีวิตไปก่อนการค้นคว้าครั้งนี้ก็นับว่ามีประโยชน์อย่างมากมหาศาลแล้ว จากนั้นนีลส์ บอร์ได้เดินทางกลับบ้านเกิดที่ประเทศเดนมาร์ก พร้อมกับภรรยามากาเร็ต ฮอร์แลนด์ (Magarethe Horland) ที่เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน
หลังจากที่นีลส์ บอร์เดินทางถึงบ้านในปี ค.ศ.1913 เขาได้เข้าทำงานในตำแหน่งอาจารย์วิชาฟิสิกส์ ประจำมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน แต่เขาทำงานอยู่ได้ไม่นานก็เดินทางกลับประเทศอังกฤษ และเดินทางกลับประเทศเดนมาร์กอีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ.1916 และได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์วิชาฟิสิกส์ประจำมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน และต่อมาในปี ค.ศ.1920 นีลส์ บอร์ได้เลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้อำนวยการสถาบันค้นคว้าทฤษฎีฟิสิกส์ ในมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน นอกจากนี้เขายังได้รับการสนับสนุนด้านการเงินในการค้นคว้าทดลองอีกด้วยในปี ค.ศ.1922 นีลส์ บอร์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์จากผลงานทฤษฎีอะตอมแนวใหม่ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการค้นคว้าด้านอะตอมในเวลาต่อมา และในปีเดียวกัน เขาได้เผยแพร่ผลงานออกมาเล่มหนึ่งชื่อว่า โครงสร้างของอะตอมและการแผ่รังสี (The Theory of Spectra and Atomic Constitution) ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับผลงานการค้นคว้าของเขาเกี่ยวกับโครงสร้างของอะตอม โดยนีลส์ บอร์ได้อธิบายว่า โครงสร้างของอะตอมก็เช่นเดียวกันกับโครงสร้างของระบบสุริยจักรวาล คือระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ส่วนอะตอมมีนิวเคลียสเป็นศูนย์กลาง ส่วนอิเล็กตรอนก็หมุนรอบนิวเคลียส เช่นเดียวกับดาวเคราะห์ที่ต้องโคจรรอบดวงอาทิตย์ นอกจากนี้นีลส์ บอร์ยังเป็นผู้อธิบายเกี่ยวกับการค้นพบกัมมันตภาพรังสี และทฤษฎีควอนตัมซึ่งแมกซ์ แพลงค เป็นผู้ค้นพบ แต่ยังไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนเท่าไรนัก เมื่อนีลส์ บอร์นำมาอธิบายทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
ในปลายปี ค.ศ.1938 นีลส์ บอร์ได้เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อพบกับอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ทั้งนี้เขาต้องการปรึกษาหารือ และทำการทดลองเกี่ยวกับทฤษฎีอะตอมให้มีความก้าวหน้ามากขึ้น ซึ่งไอน์สไตน์ก็เห็นดีด้วย ทั้งสองจึงร่วมมือกันทำการทดลองขึ้นที่ห้องทดลองในมหาวิทยาลัยพรินส์ตัน แต่การทดลองของทั้งสองก็เป็นอันยุติลงไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ก็เป็นโอกาสดีในทางหนึ่งเนื่องจากในเดือนมกราคม ค.ศ.1939 ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น ทำให้มีนักวิทยาศาสตร์อพยพมาจากยุโรปซึ่งเป็นศูนย์กลางสงคราม เข้ามาในประเทศอเมริกาจำนวนมาก ในระหว่างนี้นีลส์ บอร์ได้ เข้าทำงานในตำแหน่งศาสตราจารย์ฟิสิกส์ ประจำมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เมืองนิวยอร์ค ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ทำให้นีลส์ บอร์มีโอกาสได้เผยแพร่ผลงานที่เขาเพิ่งค้นพบให้กับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายได้มีโอกาสได้รับรู้ เกี่ยวกับทฤษฎีการแตกตัวของอะตอม ซึ่งเป็นการแตกตัวของอะตอมของยูเรเนียม ซึ่งทฤษฎีนี้ได้นำไปใช้ในการสร้าง ระเบิดปรมาณู ในปีค.ศ.1940 ภาวะสงครามกำลังตึงเครียดอย่างหนัก แต่นีลส์ บอร์ก็ยังเดินทางกลับบ้านที่ประเทศเดนมาร์กเพื่อเยี่ยมเยียนครอบครัว พอดีกับกองทัพนาซีแห่งเยอรมนีได้ยกทัพเข้ายึกประเทศเดนมาร์ก นีลส์ บอร์ต้องใช้เวลานานถึง 3 ปี จึงจะหลบหนีออกจากเดนมาร์กมายังประเทศอังกฤษ โดยความช่วยเหลือของนายกรัฐมนตรีอังกฤษในเวลานั้น จากนั้นเขาได้เดินทางต่อไปยังประเทศสหรัฐฯ และเมื่อมาถึงเขาได้เข้าทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาโครงการอะตอมแห่อลาโมร์ รัฐนิวเมกซิโก ต่อมาในปี ค.ศ.1945 ระเบิดปรมาณูลูกแรกได้ทำการทดลองเป็นผลสำเร็จ จากนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรได้ตกลงที่จะทิ้งระเบิดลงที่เมืองฮิโรชิมาของญี่ปุ่นเพื่อเป็นการยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อนีลส์ บอร์ได้ทราบข่าว เขาได้เดินทางไปยังเมืองนิวยอร์คทันทีเพื่อยุติการกระทำในครั้งนี้แต่ไม่มีผู้ใดฟังเสียงของเขาเลย แม้ว่าเขาจะพยายามอธิบายถึงผลเสียที่จะมาจากระเบิดปรมาณูแล้วก็ตามและเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่ฝ่ายสัมพันธมิตรคาดไว้คือระเบิดปรมาณูสามารถทำให้ญี่ปุ่นยอมแพ้ และสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เป็นอันยุติลง แต่ผลเสียที่ตามมาก็คือ มีผู้เสียชีวิตจากระเบิดทั้ง 2 ลูกจำนวนมากกว่า 2 แสนคน และเสียชีวิตภายหลังอีกจากโรคมะเร็งกว่า 200,000 คน หลังจากที่นีลส์ บอร์ประสบความล้มเหลวจากการหยุดยั้งระเบิด เขาได้เดินทางกลับประเทศเดนมาร์ก และได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการพลังงานปรมาณูแห่งเดนมาร์ก ในขณะที่เขาดำรงตำแหน่งนี้เขาได้พยายามหยุดยั้งการใช้ระเบิดปรมาณูเพื่อการทำลายล้างทุกวิธีทาง จนในที่สุดความพยายามของเขาก็สัมฤทธิ์ผล ในปี ค.ศ.1955 การประชุมเรื่องปรมาณู ว่าด้วยเรื่องการควบคุมการใช้พลังงานปรมาณูเพื่อสันติและสร้างสรรค์ มิใช่เพื่อการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ด้วยกัน ครั้งแรกเกิดขึ้น ที่กรุงเจนีวาประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และจากความพยายามของนีลส์ บอร์ ในปี ค.ศ.1957 นีลส์ บอร์ได้รับรางวัลปรมาณูเพื่อสันติดภาพ (Atom for Peace Award) จากหอวิทยาศาสตร์แห่งชาติ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เป็นจำนวนเงิน 75,000 เหรียญ ซึ่งนีลส์ บอร์เป็นบุคคลแรกที่ได้รับรางวัลนี้ นีลส์ บอร์ยังคงทำงานของเขาต่อไป ต่อมาเขาได้รับเชิญไปแสดงปาฐกถาในหัวข้อ ความก้าวหน้าของอะตอม จากสถาบันหลายแห่งและค้นคว้าอะตอมต่อไป จนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ.1962 ที่เมืองโคเปนเฮเกน นีลส์ บอร์ได้สร้างคุณประโยชน์อย่างมากมายให้กับวงการวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะความรู้เกี่ยวกับอะตอม นีลส์ บอร์เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยกย่องอย่างมากจากรัฐบาลเดนมาร์ก และสิ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนก็คือ คฤหาสน์อันโอ่อ่าที่มีห้องพักมากถึง 12 ห้อง ซึ่งมูลนิธิคลาสเบิร์ก (Carlsburg Foundation) ปลูกไว้สำหรับเป็นที่พักของนักปราชญ์ชาวเดนมาร์กได้อยู่จนตลอดชีวิต นอกจากนี้นีลส์ บอร์ยังดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณูของเดนมาร์ก และนีลส์ บอร์ยังได้เป็นผู้ควบคุมการสร้างเครื่องปรมาณูเครื่องแรกของเดนมาร์กอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น